關於 oracle delete ，我們在網路上蒐集到這些相關的討論、資訊與評價

🖥️ การจะสร้างเว็บออกมาสักหนึ่งเว็บในเมื่อก่อนเราอาจจะต้องใช้เวลานานมากกกก แต่ในปัจจุบันมี Framework มากมายมาช่วยให้เราทำเว็บได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น !
.
👉 ซึ่งแต่ละ Framework ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาก็จะมีข้อดีแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกใช้งานแบบไหน ให้มันเหมาะสมกับงานของเรานั่นเอง
.
และอีกหนึ่ง Framework สำหรับพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่เขาฮิตกันมากในยุคนี้ 🔥 และแอดจะนำมาพูดถึงในวันนี้อย่าง Django เนี่ยมันดียังไง ? ทำไมเหล่า Dev ถึงต้องเลือกใช้ ? เจ้านี่มันทำอะไรได้บ้าง ? เก็บข้อสงสัยทั้งหมดนี้ แล้วมาหาคำตอบไปพร้อมกับแอดในโพสต์นี้ได้เลย !!
.
ก่อนอื่นเราทำความรู้จักกับ Django กันก่อน…
.
Django เป็น Framework ที่ช่วยพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดาย แถมยังสามารถช่วยจัดการ Database ที่ซับซ้อนได้อีกด้วย เขียนด้วยภาษา Python เป็น Open Source ใช้งานได้ฟรี !!
.
มาดูข้อดีของเจ้า Django กันบ้างดีกว่า...ว่าทำไมเหล่า Dev ถึงต้องเลือกใช้ตัวนี้ ?
.
🐍 ใช้ภาษา Python
.
Django ใช้ภาษา Python ในการพัฒนา อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่า Python เป็นอีกหนึ่งภาษาโปรแกรมมิ่งยอดฮิตมากที่สุดในยุคนี้ เรียนรู้ง่าย หากคุ้นเคยกับภาษานี้ดีอยู่แล้วการจะใช้ Django ในการพัฒนาเว็บก็จะทำได้รวดเร็วมากขึ้น แถมถ้าใช้แล้วเกิดมีปัญหาใด ๆ ก็สามารถหาข้อมูลมาแก้ไขได้ง่ายนั่นเอง
.
⚡ ใช้งานง่ายและรวดเร็ว
.
ใช้หลักการทำซ้ำ ทำให้เราพัฒนาโปรเจกต์ได้อย่างรวดเร็ว สามารถใช้โค้ดเดิมที่เราเขียนไว้ก่อนหน้ามาประยุกต์ใช้กับโปรเจกต์ปัจจุบันของเราได้เลย โดยไม่ต้องเริ่มทำใหม่ทั้งหมด เพียงแค่ปรับแต่งค่าบางอย่าง เช่น URL หรือ Template เพื่อให้เหมาะสมกับโปรเจกต์ใหม่ของเรานั่นเอง
.
⚙️ สถาปัตยกรรมแบบ MVT
.
ใช้สถาปัตยกรรมแบบ MVT (Model View Template) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งช่วยให้แอปพลิเคชันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
.
Model - ช่วยในการจัดการฐานข้อมูล CRUD (Create, Read, Update, และ Delete) สามารถทำงานร่วมกับฐานข้อมูล PostgreSQL, MySQL, SQLite, และ Oracle ได้อย่างง่ายดาย
.
View - จัดการในเรื่องของตรรกะและการดำเนินการต่าง ๆ ดึงข้อมูลจาก Model เพื่อส่งให้ Template แสดงหรือประมวลผลนั่นเอง
.
Template - จัดการในส่วน User Interface ใช้แสดงข้อมูลหรือเนื้อหาต่าง ๆ ซึ่งจะรับข้อมูลมาจาก View แล้วมาแสดงผลนั่นเอง
.
✅ ปลอดภัยสุด ๆ
.
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความปลอดภัยของเว็บนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เหล่า Dev นั้นต้องคำนึงอยู่เสมอ ซึ่งเจ้า Django จะเป็น Framework ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีมาก ช่วยรักษาความปลอดภัยจากช่องโหว่ต่าง ๆ อย่างเช่น Clickjacking, SQL Injection, XSS, และ CSRF (Cross-Site Request Forgery) ให้เว็บของเราปลอดภัยมากขึ้น
.
📚 Libraries หลากหลาย
.
Django มีชุด Libraries มากมายที่จะช่วยให้เราพัฒนาเว็บได้ง่ายมากขึ้น เช่น Django REST ที่ช่วยในการสร้าง Interface ในการเขียนโปรแกรม, Django CMS ออกแบบมาเพื่อจัดการเนื้อหาบนหน้าเว็บ, และ Django-allauth ที่ช่วยสำหรับการตรวจสอบสิทธิ์ จัดการบัญชี เป็นต้น และยังมี Libraries อีกมากมาย หากใครสนใจสามารถเข้าไปดูกันได้ในลิงค์ด้านล่างเลยจ้า 👇
.
📑 Link : https://sunscrapers.com/blog/10-django-packages-you-should-know/
.
🖥️ รองรับ SEO
.
การจะทำเว็บให้ติดอันดับการค้นหาบน Search Engine สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการจัดการ SEO นั่นเอง ซึ่งเจ้า Django เป็นหนึ่งใน Framework ที่ช่วยจัดการ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพมีเครื่องมือที่ช่วยจัดการ SEO ที่ช่วยให้เหล่า Dev ประหยัดเวลามากขึ้น
.
🗂️ รองรับ ORM
.
ใน Django จะมี ORM หรือ Object Relational Mapper เป็นตัวช่วยจัดการฐานข้อมูล ทำให้เราไม่ต้องเขียน SQL เพื่อติดต่อกับฐานข้อมูลตรง ๆ โดยเจ้า ORM จะมี Class ให้เราใช้ ทำให้เราติดต่อกับฐานข้อมูลได้รวดเร็วมากขึ้นนั่นเอง ไม่ว่าจะดึงข้อมูล สร้างตาราง หรืออัปเดตข้อมูล ก็ทำได้ง่าย ๆ
.
🔧 ยืดหยุ่น ปรับขนาดได้
.
Django มีความยืดหยุ่น และปรับขนาดตามโครงสร้างของเว็บได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเว็บขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับ Traffic ของหรือปรับให้ทำงานได้ในอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน มีปลั๊กอินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บ ให้โหลดใช้งานกันอย่างหลากหลาย และนี่เป็นสิ่งสำคัญที่เว็บไซต์เจ้าดัง อย่างเช่น Instagram, Pinterest, และ Disqus เลือกใช้งานเจ้า Django นั่นเอง
.
และนี่คือส่วนหนึ่งในข้อดีของเจ้า Django ! เพื่อน ๆ ล่ะมีข้อดีอะไรนอกเหนือจากทั้งหมดนี้อยากจะแชร์มั้ย คอมเมนต์มาพูดคุยกันได้เลยน้าาาา ❤️
.
borntoDev - 🦖 สร้างการเรียนรู้ที่ดีสำหรับสายไอทีในทุกวัน
#Django #python #framework #webdeveloper #BorntoDev

🔥 “ชอบเรียนวิชา Database ชอบเขียนภาษา SQL ทำอาชีพอะไรได้บ้างคะพี่ ?”
.
มีน้อง ๆ หลายคนถามคำถามเหล่านี้เข้ามา หลังจากโพสต์ที่แล้วแอดได้รวบรวมอาชีพของเด็ก IT ที่ไม่ได้มีแค่โปรแกรมเมอร์...ซึ่งมันก็ยังมีอีกสายอาชีพของเด็ก IT ที่เป็น Database Lover เอาเป็นว่าน้อง ๆ คนไหนที่ตอนเรียนชอบวิชา Database ชอบเขียน SQL มาดูสายอาชีพที่เหมาะกับความชอบของเรากันดีกว่า…
.
มีอาชีพอะไร ? แต่ละอาชีพทำอะไรบ้าง ? หากพร้อมแล้วไปดูกันเลย !!
.
🌟 Database Administrator
.
ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลระบบฐานข้อมูลทั้งหมดภายในองค์กร ด้วยการพัฒนา ออกแบบ และใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพ และดูแลความปลอดภัยของการจัดเก็บข้อมูลนั่นเอง คือดูทั้งกระบวนการตั้งแต่ติดตั้ง สร้าง มอนิเตอร์ รวมไปถึงถ้ามีปัญหาก็ต้องเข้าแก้ไขได้ทัน ! ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีความต้องการสูง และเงินดีมาก 💵
.
⚙️ ส่วนสกิลสำคัญที่ต้องมี ได้แก่ Database Design, กระบวนการ ETL, ภาษา SQL, Database Security และต้องรู้จักวิธีใช้งานฐานข้อมูลเบื้องต้นอย่างเช่น Oracle, MySQL, และ Microsoft SQL Server (อันนี้ก็แล้วแต่บริษัทนะว่าเขาใช้ฐานข้อมูลของอะไร)
.
🌟 Database Developer
.
เป็นอาชีพที่ต้องออกแบบ พัฒนาโปรแกรม ปรับแต่งฐานข้อมูล และเสนอแนวทางในการเลือกใช้ฐานข้อมูลให้ตรงตามความต้องการขององค์กร มีหน้าที่ตั้งแต่ออกแบบฐานข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหา รวมไปถึงรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูลนั่นเอง
.
⚙️ ส่วนทักษะสำคัญที่ต้องมี ได้แก่ Database Design, ภาษา SQL ขั้นสูง, การใช้งานฐานข้อมูล ( Oracle, MySQL, และ Microsoft SQL Server อย่างใดอย่างหนึ่ง), รู้จักโครงสร้างของข้อมูล, และการติดตั้งหรือกำหนดค่าต่าง ๆ ในฐานข้อมูล
.
🌟 SQL Developer
.
อาชีพที่เหมาะกับน้อง ๆ ที่ชอบเขียน SQL เป็นชีวิตจิตใจ ❤️ เพราะเขาต้องใช้ภาษานี้ในการสร้างและจัดการข้อมูลในฐานข้อมูลนั่นเอง อาจจะไม่ต้องไปดูแลฐานข้อมูลทั้งระบบเหมือน DBA แต่จะเน้นไปที่กระบวนการพัฒนาฐานข้อมูล ใช้หลักการ CRUD (Create, Read, Update, และ Delete) เพื่อจัดการกับข้อมูล และรวมไปถึงการเชื่อมต่อฐานข้อมูลกับภายนอก เช่น Web หรือ Application ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ Job Description ของบริษัทนั้น ๆ ด้วยนะ
.
⚙️ ทักษะสำคัญที่คนอยากทำงานสายนี้ต้องมี ได้แก่ ภาษา SQL ขั้นสูง, วิธีใช้งานฐานข้อมูล, Data Modelling, และ Database Design เป็นต้น
.
🌟 ETL Developer
.
เป็นอาชีพที่ใช้กระบวนการ ETL (Extract Transform Load) มาเพื่อจัดการกับข้อมูลไม่ว่าจะเป็นการดึงข้อมูล ตรวจสอบคุณภาพ จัดสรรข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ง่ายต่อการใช้งาน เพื่อนำข้อมูลนั้นไปตัดสินใจทางธุรกิจ หรือนำไปวิเคราะห์ต่อได้ง่าย ซึ่งอาชีพนี้อาจจะไม่ได้เน้นที่การดูแลจัดการ Database โดยตรง แต่จะเน้นการจัดการกับข้อมูลมากกว่า ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องมีทักษะการเขียนโปรแกรม เช่น ภาษา Python เพื่อใช้จัดการกระบวนการ ETL นั่นเอง
.
⚙️ ทักษะสำคัญที่ต้องมี ได้แก่ การเขียนโปรแกรมเบื้องต้น เช่น Python, Java, และ C# เป็นต้น, เชี่ยวชาญกระบวนการ ETL, System Architecture, Data Management
.
🌟 Data Analyst
.
แปลตรง ๆ ก็คือ “นักวิเคราะห์ข้อมูล” มีหน้าที่นำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยการใช้เครื่องมือและสูตรทางสถิติ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่นำมาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ หรือจัดทำกลยุทธ์ทางธุรกิจ อาจจะเป็นอาชีพที่ต้องใช้ประสบการณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผสมกับความรู้ทางด้านสถิติและธุรกิจ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มาแรง และมีความต้องการมากในปัจจุบัน
.
⚙️ ทักษะสำคัญที่ต้องมี ได้แก่ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์และสถิติ, เครื่องมือในการทำงาน เช่น Power BI และ Excel, ภาษาโปรแกรมมิ่งเบื้องต้น เช่น R และ Python, และการใช้งาน Database ภาษา SQL เบื้องต้นเพื่อใช้ดึงข้อมูล รวมไปถึงการทำ Data Visualization นั่นเอง
.
🌟 Data Scientist
.
“นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล” อีกหนึ่งอาชีพที่กำลังมาแรงในยุคนี้ แถมค่าตัวแรงมาก ๆ 🔥 เพราะจำเป็นต้องใช้ทักษะขั้นสูงเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่าง Big Data รวมไปถึงจัดทำงานใหญ่ ๆ อย่าง Machine Learning เพื่อนำข้อมูลที่เป็นผลลัพธ์มาช่วยวางแผนทางธุรกิจ และเข้าใจกลุ่มผู้บริโภค เพื่อนำกลยุทธ์มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กับผู้บริโภคนั่นเอง
.
⚙️ ต้องใช้สกิลและประสบการณ์ขั้นสูงทางคณิตศาสตร์และสถิติ, ความรู้ทางด้านธุรกิจ, Computer Science ในเรื่องของการเขียนโปรแกรม, อัลกอริทึม, และ Data Structure และต้องรู้จักวิธีการใช้งานฐานข้อมูล ทั้ง NoSQL และ SQL เพื่อจัดเก็บและดึงข้อมูลมาใช้งานนั่นเอง
.
และทั้งหมดนี้คืออาชีพของสาย Database ที่แอดได้รวบรวมมาให้ อาจจะมีสายงานอื่น ๆ นอกจากนี้อีกนะ
.
น้อง ๆ หรือเพื่อน ๆ คนไหนอยากทำอาชีพอะไรกันบ้าง ? หรือพี่ ๆ คนไหนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับสายงานพวกนี้ มีอะไรอยากจะแชร์ สามารถมาพูดคุยกันได้ในคอมเมนต์ด้านล่างได้เลยน้าาาา 🥰
.
borntoDev - 🦖 สร้างการเรียนรู้ที่ดีสำหรับสายไอทีในทุกวัน

Banyak pula Poster Matrix 4 melintas...

Tak rasa teruja sangat sebab Matrix ni part1 sahaja best, Part 2 dan Part 3 tak best.

alkisahnya, Teringat pengalaman first time nonton Matrix part 1, di KL, pangung wayang Mall mana dah lupa, tahun 1999. Plan nak tonton filem berjudul Entrapment lakonan Sean Connery yang hina Malaysia dengan babak KLCC dan rumah miskin area Melaka digabungkan seolah KLCC ni zalim sangat kerana sangup bina bangunan mewah di kawasan rakyat susah. Adohai..

Pendekkan cerita, Pergi malam tu naik motor ramai juga, jadi ada sorang Joki ditugaskan beli tiket, bila tonton masa tu tajuk Entrapment tak ingat sangat, Jadi sangka Matrix ni filem itu lah, jenuh juga tunggu babak KLCC, dan Sean Connery tak keluar keluar, rupanya salah tajuk filem daa…

Tapi bersyukur sangat sebab Matrix ni best nak mampos. Lepas tu saya repeat lagi sorang sorang sebab filem ini best giler kot zaman tu, lagipun semua yang saya nak dari sebuah filem: Ada!,

Pertama jalan cerita yang di luar kotak, yang mana kita tak mampu nak teka babak seterusnya, lepas tu hijab di buka babak demi babak menjadikan wow! Setiap karektor kita dapat rasakan kerisauan mereka, dan bila ada yang mati, kita rasa simpati.

Hero pulak dari zero kepada hero di bantu mentor botak dari awal hingga akhirnya mampu berdikari, babak lawan gaya kungfu menjadi pencetus kepada filem barat untuk jadikan gaya kungfu dalam movie mereka, dan aksi bukan sajer best, tapi best gila, dengan slow mo sambil kamera berputar 360 darjah, hingga babak elak peluru tu jadi terkenal dan sejak dari itu banyak filem tiru babak macam tu, di kenali istilah “bullet time”.

Bagi yang belum tonton, filem ini berkisah tentang perjalanan hero yang mencari erti hidup bagi mencapai tahap marifat hakikat atau istilah sainsnya: “cabut plug”.

Hero ni awalnya hidup macam kita manusia biasa, pergi kerja balik kerja, dan tertanya apa tujuan hidup? Kenapa semua orang sibuk bekerja? dan lepas tu kita tua dan lepas tu sakit dan lepas tu mati? Apa ni? Agaknya begitulah hero fikir bila bosan kerja di pejabat.

Lepas tu datang Pakcik botak berkaca mata hitam ajak sembang bab maarifat dan hakikat.

“Bro, kau ni tak wujud, semua yang kau nampak ni tak ada depan kau, aku ni pun tak wujud depan kau, kau nampak aku, kau sentuh benda, bukan sebab aku dan benda ni ada depan kau, tapi sebab otak kau dah terima program dari Matrix yang buatkan semua ini wujud, padahal semua ini simulasi sahaja, kau hanyalah avatar dalam matrix, otak kau sekarang ada plug di alam hijab sana, kalau kau tak percaya, mari makan pil merah ni, aku bukak hijab kau dengan tolong cabut Plug, baru lah kau akan nampak alam di sebalik mata ”

Hero pun teruja dengan alam di sebalik mata terus makan pil merah, lepas tu plug belakang kepala dia tercabut, dan dia bukak mata hakikat maka rupanya dia ada atas kerusi di kilang milik robot jahat, selama ini hidupnya dalam bentuk Avatar sahaja kerana ada plug macam USB bersambung dengan otaknya, bila dah cabut plug, dia pandang kiri kanan, tengok beribu ribu orang sedang tidur dalam keadaalan plug USB bersambung di kepala masing masing. Apa ke jadah ni?

Lalu datang Pakcik botak tadi dalam versi manusia sebenar kerana dia dah lama cabut plug untuk terangkan kepada hero erti maarifat dan hakikat.

Jadi diapun ceritlah, bahawa dunia sebenar, robot A.I (Artificial Intelligence) dah ambik alih, zaman tu matahari dah tak boleh bekalkan tenaga lagi dan oleh sebab otak manusia dapat hasilkan tenaga nano elektrik, maka robot A.I jahat sekarang ni ternak manusia dari bayi hingga tua dalam kerusi berbentuk Rahim, dan akan ada Plug USB bersambung belakang kepala, lalu robot tu program dunia Matrix baru dalam otak semua manusia macam yang kita nampak sekarang ni agar otak kita sentiasa bekerja lalu nano elektrik tu disimpan untuk robot itu terus hidup dan berkuasa. Semua manusia dalam Matrix dah ditakdirkan avatar masing masing, Cuma otak follow takdir, maka terhasilah nano elektrik yang untungkan robot A.I tu.

Hero pening susah nak hadam maarifat hakikat ini, lalu Pakck botak sambung USB baru ke otak hero dan mereka berdua pun masuk ke dunia matrix(program) lain, dan di situ fizik boleh ubah suka hati, nak lompat tinggi sampai awan?,boleh.., nak terjun bangunan tapi tak mati?, semua boleh, nak belajar kungfu?, transfer file sahaja dalam otak dan terus pandai macam Bruce Lee, nak naik helicopter? Transfer file dalam otak dan terus boleh bawak, takde senjata api? Download sahaja dan terus dapat satu almari senjata, semua boleh buat macam hidup dalam syurga.

Ok, baiklah, hero yang faham hakikat kini berkata pada pakcik botak:

“Sekarang aku dah cabut plug, aku dah sedar maarifat hakikat, dan aku boleh masuk syurga mana mana yang aku nak sebab aku boleh program sendiri, jadi kenapa kau cabut plug aku?”

“Kita ada misi bro, kau boleh tinggal dalam syurga kau tanpa ambil kesah pada dunia, tapi manusia di zaman ini sedang menyorok dari robot A.I jahat berbentu sperma terbang, jadi mbaki manusia zaman ini menyorok dengan buat kubu rahsia bawah tanah. Sekarang ni robot sperma tu tengah korek tanah macam yakjud makjud korek tembok, ni jika robot sperma tu tahu kita dah cabut plug sekajap lagi dia datang bunuh kita”

“Apa nak buat sekarang”

“Kita kekalkan menyorok, tapi aku dapat ‘wahyu’ dari robot baik bernama Oracle, bahawa dalam ramai ramai bateri (manusia) dalam kilang robot, ada NEO seorang roh terpilih yang mampu lawan ketua robot jahat (The Architect) dan selamatkan seluruh manusia, aku rasa kau NEO tu, sebab tu aku cabut plug dari kepala kau, jadi sekarang kita kena masuk balik dalam dunia Matrix, cari robot baik The Oracle untuk latih kau jadi NEO, the Chosen one”

“kenapa aku?”

“Kau ada semua ciri seorang NEO, pandai hack program, sihat, berani ingin tahu, bijak, dan sentiasa ambik peluang untuk berubah, sebab tu kami pilih kau”

“Okey, jom kita masuk cari The Oracle”

“Tapi bila masuk dunia matrix yang kau kerja pejabat dulu, fizik di dunia itu robot A.I The Architect yang kawal, kau dah tak boleh nak terbang atau elak peluru, , kita boleh hack fizik setakat kita mampu, kita akan masuk dari Plug USB ke talian telefon, dan cara nak balik juga kena ada talian telefon macam line internet, tapi bila kita boleh hack sana sini, kita dah jadi virus dalam dunia tu sebab kita dah cabut plug, maka akan datang antivirus dalam bentuk lelaki kaca mata hitam berbaju hitam(ejen Smith) untuk delete (bunuh)kita. Hanya NEO mampu lawan anti virus tu, aku harap kau dapat Hack dunia matrix tu, biar peluru stop, atau boleh elak peluru, dan kalahkan Ejen Smith, boleh ke?”

“ Aku cuba, tapi hebat sangat ke ejen antivirus tu? Dia bergerak ikut fizik jugak ke?”

“Dia macam dajjal cepatnya, boleh bergerak dengan tumpang badan manusia, selagi ada manusia, dia akan sampai, peluru pun dia boleh elak, jika tak mampu lawan lekas-lekas lari cari line internet, dan cabut plug, kita terjaga kea lam sebalik mata dan kita selamat”

Peghhh, begitulah dialog dia yang saya tafsir dengan istilah yang mudah orang islam nak faham.

Ending filem itu waktu hero di tembak oleh antivirus ejen Smith, hero dah mampu hentikan peluru, dan kalahkan antivirus dengan kungfu, perghhhh, nampaknya hero dah sampai makam marifat hakikat, jika boleh hentikan peluru maka setakat berjalan atas air apalah sangat, lalu filem habis dengan penuh bergaya kerana hero pilih untuk terbang macam Superman.

Woha!

Berbalik kepada analogi cabut Plug dalam filem Matrix, perkara yang hubungkan hero dan dunia matrix adalah KESEDARAN, dan Cabut Plug membukan Hijab kepada alam di sebaliki mata, lalu KESEDARAN menerima kebenaran walaupun susah pada awalnya nak terima hakikat, namun bila berdamai dengan kebenaran, maka KESEDARAN akan menjadi tenang.

Inilah maksud hidup yang kita cari, iaitu KESEDARAN yang menjadi Tenang.

Janji Allah, hanya dengan Mengingati Allah, Kesedaran akan menjadi tenang. InsyaAllah…

Dulu di alam Syahadat waktu kita bersaksi bahawa Allah tuhan sekalian alam, jiwa atau kesedaran kita sangat tenang, hingga kita sanggup menerima semua takdir yang akan datang, lalu roh kita di masukkan ke bayi dalam kandungan dan lahir sebagai manusia suci tanpa dosa. Waktu itu kesedaran kita direset dan akan kemabli pulih bila kita kembali kepada Allah melalui berita yang akan disampaikan oleh utusan Allah.

Maka hidup di dunia ini, jasad kita hanyalah ‘Avatar’ yang telah ditakdirkan Allah, lalu takdir (program) hidup pun berlaku, yang mana kita akan sekejap senang, sekejap susah, akan sekejap buat ibadat, sekejap buat dosa. Sekejap jahat sekejap baik, Namun adakah kehidupan kita ini 100 peratus takdir? Lalu kita hanya serahkan nasib pada takdir?

Salah jika faham macam tu, kerana Allah yang Program Takdir semua manusia adalah Maha Habat, maka Allah telah takdirkan hidup kita berdasarkan usaha kita, sebab tu ada ayat, Allah tidak akan ubah nasib kamu jika kamu sendiri tak nak berubah. Namun dalam manusia menrancang, Allah juga merancang, dan Allah sebaik baik perancang.

Bermakna, Allah boleh buat takdir Allah dan pilihan manuia keduanya berjalan serentak, yang mana walaupun takdir itu seolah paradox, tapi itulah Maha Kuasa Allah yang tidak terkesan dengan Paradox (rujuk ulasan filem Tenet sebelum ini jika nak faham istilah Paradox)

Maka asas takdir yang kita nak faham adalah, bagaiamana KESEDARAN kita melayan takdir. Ada empat tahap.

1)Bila takdir susah datang, terpulang kepada KESEDARAN kita sama ada nak SABAR atau nak MENGELUH. (Allah janji dalam takdirnya, siapa yang sabar akan dapat bantuan Allah, siapa mengeluh tidak akan dapat bantuan takdir yang baik)

2)Bila takdir senang datang, terpulang kepada KESEDARAN kita sama ada nak SYUKUR atau nak KUFUR (Allah janji siapa bersyukur akan tambah nikmat, siapa kufur azab pedih!)

3)Bila takdir Ibadat datang, terpulang kepada KESEDARAN kita sama ada nak IKHLAS atau nak RIAK. (ikhlas ke syurga, riak ke neraka walaupun nampak alim)

4)Bila takdir dosa datang, terpulang kepada KESEDARAN kita sama ada nak KHAUF lalu bertaubat atau nak UJUB lalu terus buat maksiat. (pendosa bertaubat akan masuk syurga, pendosa tak bertaubat akan ke neraka)

Jadi orang yang dah tercabut plug adalah mereka yang faham hakikat takdir iaitu:

1) Bersyukur dengan segala nikmat walaupun sekecil kecil nikmat.

2) Bersabar dengan segala ujian walaupun sebesar besar ujian

3) Ikhlas dengan setiap amal sama ada kecil ataupun besar

4) Khauf dengan segala dosa lalu bertaubat. (khauf ertinya takut)

Orang yang belum tercabut Plug pula adalah mereka yang: Kufur, Mengeluh, Riak, dan tidak bertaubat! Kerana kesedaran mereka masih belum capat tahap tercabut Plug, iaitu tiada kemampuan melihat dunia ini sebagai ladang pahala serta pintu segala kebaikkan.

Belum Kahsyaf kata ustaz! Tu yang buat dosa siang malam sebab rasa Allah tu jauh dari mereka, padahal orang beriman yang capai tahap ehsan, rasa macam nampak Allah tu dekat, dan jika tak ‘nampak’pun Allah di setiap ciptaanNYA, tetap orang beriman rasa Allah sangat dekat dan sedang tengok kita.

KESEDARAN merasai Allah sedang Melihat Kita adalah tanda kita dah “cabut Plug!”

Maka sayangilah kesedaran kita, kerana “kesedaran’ kita sekarang ini akan kekal bersama kita selamanya. Avatar kita akan hancur, tapi kesedaran kekal bersama kita sampai kiamat, sampai bila bila, kesedaran kita adalah abadi, tengok Waktu jasad kita tidur, kadang-kadang KESEDARAN kita masih hidup dalam mimpi di alam matrix yang menjadi mainan syaitan.

Bila terjaga, Kesedaran dan Jasad akan bersatu kembali, Maka waktu itu kita akan terfikir, siapa aku? Dari mana aku datang? Apa tujuan aku di sini? Kemana aku selepas ini? Di mana aku sebelum hidup? Kemana aku selepas mati?

Semua persoalan akan di jawab oleh KESEDARAN yang dah capai tahap Ehsan! Tahap “cabut Palug”

Dan bila Jasad Avatar kita mati nanti, maka KESEDARAN tetap ada, waktu orang uruskan mayat, kita tetap SEDAr!, kerana waktu itu kita seolah olah seperti terjaga dari tidur, macam Cabut Plug! dan hidup sebenar kini dirasai di alam barzah, hidup di dunia Cuma mimpi.

Lalu kehidupan alam barzah menjadi sangat berbeza dari penghiupan di dunia, masa dah tak sama, jasad juga dah tak sama, ada yang hidup di taman syurga, ada yang hidup di lembah neraka, tapi kesedaran tetap sama, AKU mengerti Siapa diri INI… MENGENAL AKU MENGENAL ALLAH!

Lalu datang Malaikat Tanya soalan, dan hanya KESEDARAN yang benar sahaja dapat selamat.

lepas tu berlaku kiamat, Tiupan sangka kala, maka sekali lagi kita akan alami kehidupan sebenar, kita sekali lagi terjaga dari mimpi kubur, dan hidup serentak di padang mahsyar, hanya Kesedaran bersama kita di alam akhirat, jasad avatar kita kini semuanya dah tak sama, ada orang perut besar sebab makan harta anak yatim, ada orang kemaluan besar sebab suka berzina, macam macam!

Panjang cerita saya pendekan, KESEDARAN lah yang akan kekal selamanya, maka hargailah KESEDARAN ini dengan memberi makanan rohani secukupnya, iaitu selalu bercakap kebesaran Allah dengan perbanyakkan dakwah hingga capai tahap Ehsan! Jaga Solat lima waktu hingga dapat cegah mungkar serta maksiat, Puasa kita jaga hingga dapat sifat Malaikat, Zakat kita jaga hingga dapat sifat Khalifah, dan Haji kita tunaikan hingga dapat sifat Nabi!

Sudahkan anda semua tercabut Plug? Salah satu tanda plug dah tercabut hingga dapat lihat alam disebalik mata adalah waktu Dengar orang azan! lekas lekas ke masjid, Sebab Nabi bersaksi dengan keimanan orang yang ulang alik ke masjid!

Al Faham ke idop?

Bila cabut Plug, kita seakan akan ternampak ahli syurga sedang ziarah, dana li neraka sedang keluh kesah!

Nampak tak wahai kesedaran yang tenang sekalian?

Nampak tak?

Balik kepada filem Matrix, Sejak tonton filem itu, bila borak dengan kawan pasal hidayat, saya selalu guna istilah “cabut Plug”

Contoh bila ada kawan kita yang puas kita ajak dia solat tapi dia buat selamba, maka kawan kita itu belum tercabut plug.Adohai..

Contoh Bila tengok ada bekas penagih ikut tabligh lepas tu solat malam di masjid beriktifat tak henti henti, oh, mamat tu dah cabut plug, tu yang seronok solat, dah dapat hakikat.

Kemudian, Bila tengok pakcik kemalangan, tangan putus waktu kemalangan tu, tapi pakcik ni senyum dan berkata, tangan saya Allah punya, Allah nak ambik nyawa pun saya rela, perghhh, pakcik bila dah cabut plug, lain macam dia cakap.

Ada jugak makcik yang ada semua anaknya OKU, terlantar lumpuh tak boleh bercakap kerana masalah otak, makcik tu senyum sahaja sebab katanya dah nampak anak dia kat syurga sedang hiburkan dia, perghh, makcikpun, awal cabut plug dia nih!

Contoh lain, bila ada ustaz kutuk kawan kawan tabligh, maka kata saya, sabar, ustaz tu belum cabut plug lagi. Dah cabut plug takdenya dia nak marah orang berdakwah rumah ke rumah.

Tapi jika ada yang melampau, lalu berkata: Aku adalah Allah, Aku tidak wujud tetapi wujud, aku tidak perlu solat kerana aku ditakdir kan akan lalai, maka itu bukan cabut plug, itu adalah file rosak dan masuk otak dia!

Woha!

Ps: Harap korang semua dah “cabut plug” lalu kashaf melihat dunia ini sebagai ladang pahala yang mengalir tak henti henti dari atas ke bawah bewarna hijau syurga macam skrin kompuetr Matrix, perghhh!